Ticker

10/recent/ticker-posts

ปุ๋ย..คืออะไร? มีกี่ประเภท? อะไรบ้าง?

ปุ๋ย..คืออะไร?


ปุ๋ย คือ วัสดุอะไรก็ตามที่มีธาตุอาหารพืชเป็นองค์ประกอบ หรือเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทำให้เกิดธาตุอาหารพืช เมื่อใส่ปุ๋ยลงไปในดินแล้วจะปลดปล่อย หรือสังเคราะห์ธาตุอาหารที่จำเป็นให้แก่พืชทำให้พืชเจริญเติบโตได้


ปุ๋ยแบ่งออกเป็น 4 ประเภท

1.ปุ๋ยเคมี

ปุ๋ยเคมี คือสารประกอบอนินทรีย์ที่ให้ธาตุอาหารแก่พืช เป็นสารประกอบที่ผ่านกระบวนการผลิตทางเคมี เมื่อใส่ลงไปในดินที่มีความชื้นที่เหมาะสมแล้วทำให้ปุ๋ยเคมีจะละลายให้พืชดูดไปใช้ประโยชน์ได้อย่างรวดเร็ว ปุ๋ยเคมีแบ่งออกเป็น2ประเภทได้แก่

ปุ๋ยเดี่ยวหรือแม่ปุ๋ย

แม่ปุ๋ย มีอะไรบ้าง เช่น ปุ๋ยพวกแอมโมเนียมซัลเฟต ปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟต หรือ 21-0-0 มีธาตุไนโตรเจน N 21 % กำมะถัน S ประมาณ 14 % และอีกอย่างก็คือปุ๋ยยูเรีย 46-0-0 ก็เป็นแม่ปุ๋ยเช่นกัน โพแทสเซียมคลอไรด์ 0-0-60 เรียกว่าปุ๋ยMOP ไดแอมโมเนียมฟอสเฟส 18-46-0 ฯลฯ ซึ่งเป็นสารประกอบทางเคมี มีธาตุอาหาร ปุ๋ยคือ N หรือ P หรือ K เป็นองค์ประกอบธาตุอาหารอยู่ด้วยหนึ่งหรือสองธาตุแล้วแต่ชนิดของสารประกอบที่เป็นแม่ปุ๋ยนั้น ๆ มีปริมาณของธาตุอาหาร ปุ๋ยที่คงที่ เช่น ปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟต มีไนโตรเจน N 21% ไดแอมโมเนียมฟอสเฟส 18-46-0 มีธาตุอาหารไนโตรเจน N 18% และ ธาตุอาหารฟอสฟอรัส P 46%(มีธาตุอาหารอยู่สองชนิด)

ปุ๋ยผสม

ปุ๋ยผสม คือ ปุ๋ยที่มีการนำเอาแม่ปุ๋ยหลาย ๆ ชนิดมาผสมรวมกันเป็น ปุ๋ยเคมีสูตรต่างๆเพื่อให้ปุ๋ยที่ผสมได้มีปริมาณและสัดส่วนของธาตุอาหาร N P และ K ตามที่ต้องการ ทั้งนี้เพื่อให้ได้ปุ๋ยที่มีสูตรหรือเกรดปุ๋ยเหมาะที่จะใช้กับพืชและดินที่แตกต่างกัน ปุ๋ยผสมนี้จะมีขายอยู่ในท้องตลาดทั่วไปเพราะนิยมใช้กันมากเช่นปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 สูตร 16-16-8 สูตร 15-5-20 แล้วแต่จะทำสูตรปุ๋ยต่างๆที่พืชต้องการมีหลายสูตรมาก

ปุ๋ยผสมแบ่งได้เป็นสองประเภทคือปุ๋ยผสมแบบปั้นเม็ด Compound ปุ๋ยผสมแบบคลุกเล้า Bulk Blending

2.ปุ๋ยอินทรีย์

ปุ๋ยอินทรีย์ คือปุ๋ยที่ได้จากสารประกอบของสิ่งมีชีวิต ได้แก่ พืช สัตว์ และจุลินทรีย์ ผ่านกระบวนการผลิตทางธรรมชาติ ปุ๋ยอินทรีย์ส่วนใหญ่ใช้ปรับปรุงโครงสร้างดิน ทำให้ดินร่วนซุย ระบายน้ำและถ่ายเทอากาศได้ดี รากพืชจึงชอนไชออกไปหาธาตุอาหารได้ง่ายขึ้นแต่จะมีธาตุอาหารหลัก N P K น้อยเมื่อเปรียบเทียบกับปุ๋ยเคมีในน้ำหนักที่เท่ากัน

และธาตุอาหารพืชส่วนใหญ่อยู่ในรูปของสารประกอบอินทรีย์ เช่น ไนโตรเจนอยู่ในสารประกอบจำพวกโปรตีน เมื่อใส่ลงไปในดินพืชจะไม่สามารถดูดซึมไปใช้ได้ทันที ต้องผ่านกระบวนการย่อยสลายของจุลินทรีย์ในดิน แล้วปลดปล่อยธาตุอาหารเหล่านั้นออกมาในรูปสารประกอบอินทรีย์ เช่นเดียวกันกับปุ๋ยเคมี จากนั้นพืชจึงดูดไปใช้ประโยชน์ได้

ปุ๋ยอินทรีย์มี 3 ประเภทคือ ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยพืชสด 


ปุ๋ยคอก

จัดว่าเป็นปุ๋ยอินทรีย์ที่ได้มาจากสิ่งขับถ่ายของสัตว์เลี้ยง เช่น โค กระบือ สุกร เป็ด ไก่ และห่าน ฯลฯ โดยอาจจะใช้ในรูปปุ๋ยคอกแบบสด แบบแห้ง ปุ๋ยคอกควรนำไปหมักให้เกิดการย่อยสลายก่อนแล้วค่อยนำไปใช้ก็ได้เพราะถ้าผ่านกระบวนการหมักแล้วทำปุ๋ยคอกไม่เกิดความร้อนถ้ามีการใช้แบบสดอาจทำให้เกิดความร้อน

เป็นอันตรายต่อรากพืชทำให้พืชเหี่ยวเฉาได้

การใช้ปุ๋ยคอกนั้น นอกจากจะมีประโยชน์ในการช่วยเพิ่มธาตุอาหารพืชในดินแล้ว ยังช่วยปรับปรุงบำรุงดินให้โปร่งและร่วนซุย พืชเจริญเติบโตได้เร็วเนื่องจากดินมีโปร่งความร่วนซุย

ปุ๋ยหมัก

เป็นปุ๋ยอินทรีย์ชนิดหนึ่ง ที่ได้จากการนำชิ้นส่วนซากของพืช วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร หรือวัสดุเหลือใช้จากโรงงานอุตสาหกรรม เช่น หญ้าแห้ง ใบไม้ ฟางข้าว ซังข้าวโพด ใบอ้อย กากอ้อย ขี้เค้กอ้อยจากโรงงานน้ำตาล และเปลือกข้าวหรือแกลบจากโรงสีข้าว กากมันจากโรงงานแป้งมันสำปะหลัง ขี้เลื่อยจากโรงงานแปรรูปไม้ เป็นต้น นำส่วนต่างๆที่กล่าวมาหมักในรูปของการกองซ้อนกันบนพื้นดิน หรืออยู่ในหลุม เพื่อให้ผ่านกระบวนการย่อยสลายให้เน่าเปื่อยเสียก่อนกระบวนการนี้อาจใช้ปุ๋ยคอกเพื่อสร้าจุลินทรีย์ช่วยกิจกรรมการย่อยสลายของจนกระทั่งได้สารอินทรียวัตถุที่มีความคงทน ไม่มีกลิ่น มีสีน้ำตาลปนดำ 

การทำปุ๋ยหมัก

พวกเราสามารถทำปุ๋ยหมักเองได้ โดยนำวัสดุต่างๆ ซากพืชซากสัตว์มากองสุมให้สูงขึ้นจากพื้นดิน 30-40 ซม. แล้วโรยปุ๋ยคอกผสมปุ๋ยเคมีสูตรเสมอ 15-15-15 ประมาณ 1-1.5 กิโลกรัมต่อเศษพืชหนัก 1,000 กิโลกรัม เสร็จแล้วก็กองเศษพืชซ้อนทับลงไปอีกแล้วโรยปุ๋ยคอกผสมปุ๋ยเคมี ปุ๋ยเคมีและปุ๋ยคอก(ปุ๋ยเคมีและปุ๋ยคอกที่ใส่ช่วยแรงกระบวนการทำงานของจุลินทรีย์) ทำเช่นนี้เรื่อยไปเป็นชั้นๆ จนสูงประมาณ 1.5 เมตรควรมีการรดน้ำแต่ละชั้นเพื่อให้มีความชุ่มชื้น และเป็นการทำให้มีการเน่าเปื่อยได้เร็วขึ้น กองปุ๋ยหมักนี้ทิ้งไว้ 3-4 สัปดาห์ ก็ทำการกลับกองปุ๋ยครั้งหนึ่งหมักประมาณ 2-3 เดือนหรือกองปุ๋ยไม่มีความร้อนและเนื้อปุ๋ยเป็นสีดำก็ใช้ได้แล้ว

ปุ๋ยพืชสด

เป็นปุ๋ยอินทรีย์ที่ได้จากการปลูกพืชบำรุงดิน ซึ่งได้แก่พืชตระกูลถั่วต่าง ๆ แล้วทำการไถกลบ เมื่อพืชเจริญเติบโตมากที่สุด ซึ่งเป็นช่วงที่กำลังออกดอก พืชตระกูลถั่วที่ควรใช้เป็นปุ๋ยพืชสดควรมีอายุสั้น มีระบบรากลึก ทนแล้ง ทนโรคและแมลงได้ดี เป็นพืชที่ปลูกง่าย และมีเมล็ดมาก ตัวอย่างพืชเหล่านี้ก็ได้แก่ ถั่วพุ่ม ถั่วเขียว ถั่วลาย ปอเทือง ถั่วขอ ถั่วแปบ และโสน เป็นต้น

3.ปุ๋ยชีวภาพ

ปุ๋ยชีวภาพ คือ เป็นปุ๋ยทีมีจุลินทรีย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ และมีคุณสมบัติพิเศษที่สามารถสังเคราะห์สารประกอบธาตุอาหารพืชได้เอง หรือสามารถเปลี่ยนรูปธาตุอาหารพืชที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อพืช มาเป็นรูปที่พืชสามารถดูดไปใช้ประโยชน์ได้ กรมวิชาการเกษตร นับเป็นหน่วยงานแรกของประเทศไทยที่ได้ศึกษาวิจัยปุ๋ยชีวภาพ และผลิตปุ๋ยชีวภาพจำหน่ายให้แก่เกษตรกรด้วย

ปุ๋ยชีวภาพแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

กลุ่มจุลินทรีย์ที่สามารถสังเคราะห์สารประกอบอาหารพืชไนโตรเจนได้เอง

ได้แก่ ไรโซเบียมที่อยู่ในปมรากพืชตระกูลถั่ว แฟรงเคียที่อยู่ในปมของรากสนทะเล สาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงินที่อยู่ในโพรงใบของแหนแดง และยังมีจุลินทรีย์อื่นๆที่อาศัยอยู่ในดินอย่างอิสระอีกมาก ที่สามารถตรึงไนโตรเจนจากอากาศให้แก่พืชได้เช่นกัน

กลุ่มจุลินทรีย์ที่ช่วยทำให้ธาตุอาหารพืชในดิน ละลายออกมาเป็นประโยชน์ต่อพืชมากขึ้นเช่น ไมคอร์ไรซาที่ช่วยให้ฟอสฟอรัสที่ถูกตรึงอยู่ในดิน ละลายออกมาอยู่ในรูปที่พืชดูดไปใช้ประโยชน์ได้

 4.ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ คือ ปุ๋ยอินทรีย์ที่ผ่านกระบวนการผลิต ที่ใช้อุณหภูมิสูงถึงระดับที่สามารถฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ ทั้งที่เป็นโรคพืช โรคสัตว์ และโรคมนุษย์ รวมทั้งจุลินทรีย์ทั่วๆ ไปด้วย จากนั้นนำจุลินทรีย์ที่มีสมบัติเป็นปุ๋ยชีวภาพ ที่เลี้ยงไว้ในสภาพปลดปล่อยเชื้อมาผสมกับปุ๋ยอินทรีย์ดังกล่าว และทำการหมักต่อไปจนกระทั่งจุลินทรีย์ที่ใส่ลงไปในปุ๋ยหมักมีปริมาณคงที่ จุลินทรีย์เหล่านี้นอกจากจะช่วยตรึงไนโตรเจนให้แก่พืชแล้ว ยังช่วยผลิตสารฮอร์โมนพืชเพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตของรากพืช และจุลินทรีย์บางชนิดยังสามารถควบคุมโรคพืชในดิน และกระตุ้นให้พืชสร้างภูมิคุ้มกันโรคได้อีกด้วย

Post a Comment

0 Comments